จะอ่านกันไหม..เนี่ย
จะอ่านกัน..ไหมเนี่ย
ครูป๊อป
ได้ถูกขอให้เขียนบทความเกี่ยวกับคุณธรรมลงในวารสารฉบับปฐมฤกษ์ บอกกับตนเองว่าจะเขียนดีหรือไม่เขียนดี รู้สึกสับสนกลับไป กลับมา ตามประสาของคนมีกิเลสที่มักจะคิดถึงการได้ และการเสียอยู่เสมอ ๆ ที่รู้สึกว่าน่าจะเขียนดี..มากกว่าไม่เขียนดีอาจจะเป็นเพราะ..เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งดาราและไม่ใช่ดาราต่างก็ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือกันยกใหญ่ บางทีก็เอาชีวิตตนเองมาเขียน มีทั้งเรื่องในมุ้งนอกมุ้ง เห็นดังกันเปรี้ยงปร้าง ยิ่งโป๊นิด ๆ เปิดหน่อย ๆ วับ ๆ แวบ ๆ ถึงจะ..แรง (ต้องทำเสียงขึ้นจมูกหน่อย ๆ ถึงจะแรงจริง) เห็นขายดีกันเป็นเทน้ำเทท่า ส่วนในกรณีที่ไม่อยากจะเขียนเพราะไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรให้ได้ตรงกับคอนเซ็พตามหัวข้อเรื่อง “คุณธรรม” เพราะถ้าจะเขียนเรื่องของคุณธรรมกันตรง ๆ สงสัยว่า.. “จะอ่านกัน..ไหมเนี่ย” ..
แต่จะว่ากันไปแล้วหนังสือหมวดคุณธรรมในยุคนี้สมัยนี้จะว่าไม่ดังก็คงไม่ใช่อีก เพราะถ้าลองไปเดินตามศูนย์จำหน่ายหนังสือจะเห็นหนังสือประเภทลดทุกข์เพิ่มสุขมีให้เห็นกันแบบเกลื่อนตา ถ้ามองเพียงผิวเผินก็คงรู้สึกได้ว่า วันนี้ เวลานี้คนไทยต่างล้วนสนใจที่จะจัดการกับเจ้าความทุกข์กันยกใหญ่ แต่ถ้าพลิกมองอีกด้านก็จะมองเห็นว่า วันนี้ เวลานี้ทำไมคนไทยถึงได้ทุกข์กันมากมายนักหนา โดยเฉพาะยิ่งเล่มไหนที่มีวาทะดีเขียนให้ลดกรรม แก้กรรม จนถึงสแกนกรรมที่เคยทำไว้แต่ชาติปางก่อนได้เป็นอันว่า...ขายดี คำถามคือ ทำไมหนังสือประเภทนี้ถึงขายได้มาก และมันสะท้อนถึงเรื่องใดในสังคมของเรา ก็ต้องใช้สติและปัญญารวมจนถึงกำลังภายในกับการจะเขียนบทความนี้ให้มากหน่อย เผื่อมีคนตาถึง (ถึงไหนก็ไม่รู้) มาขอให้เขียนบทความและพิมพ์ขายได้เมื่อไหร่เห็นว่า คงจะดังกับเขาเสียที
“ทุกข์” เรื่องที่อยู่คู่กับมนุษยมาทุกชาติทุกสมัย ใครมองเห็นเจ้าตัวทุกข์นี้ได้ก่อนนับว่ามีบุญเหลือหลาย เพราะจะได้มีเวลาจัดการกับมันได้ก่อนใครเพื่อน แต่ถ้าไม่รู้จักมันอย่างจริงจังมัวแต่ร้องไห้ เสียใจ ท้อแท้ใจ คับข้องใจ ขัดใจ แค้นใจ ลำบากใจ น้อยใจ เป็นอันว่าเสร็จมัน อ้าย....เจ้าตัวทุกข์มันได้โอกาสเล่นงานเรางอมพระรามแน่ และนี่แหละ..เป็นคำตอบว่า ทำไมหนังสือประเภทอ่านปุ๊บรู้สึกว่าทุกข์หมดปั๊บ จึงขายดีนักหนา ทุกข์เป็นธรรมะ..ตัวแรก ๆ ที่มนุษย์ควรให้ความสนใจ แค่นั่งมองมันเฉย ๆ เหมือนดูมันเล่นละคร แต่ห้ามเข้าไปเล่นละครกับมัน อย่าได้กระโจนเข้าไปเป็นพระเอก นางเอก หรือตัวอิจฉา เป็นอันว่าได้บรรลุธรรมแน่
พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ทรงออกบวชเพราะทรงต้องการรู้จักกับเจ้าตัวทุกข์ ทรงพยายามรู้จักกับมันและหาวิธีดับมัน ทรงมุ่งมั่นตั้งใจ พากเพียรจนในที่สุดทรงมีความเข้าใจเจ้าตัวทุกข์แบบละเอียดยิบจนสามารถดับมันลงได้อย่างราบคาบ คำถามคือ จะทำอย่างไรเราถึงจะรู้จักกับมันอย่างดีได้บ้าง คำตอบก็คือ “ต้องมีความเพียร” เอาเป็นว่า ถ้าวันนี้เรายังไม่สามารถเข้าใจ เข้าถึงมันได้ ก็ลองแค่หยิบเจ้าความเพียรมาใช้ในการดำเนินชีวิตดู ไม่ว่าจะกำลังทำอะไร จะเรียนหนังสือ หรือทำงาน ลองทำแบบพากเพียรเหมือนพระพุทธองค์ จะลำบากขนาดไหน ลองทุ่มเททำมันแบบสุดฤทธิ์ สุดเดช เดี๋ยวผลคงจะเกิดขึ้นมาเอง ไม่เชื่อลองดู...ขอเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกัน... “ไม่มีความสำเร็จใดที่ไม่ต้องใช้ความเพียรหรอกนะคะ”...สวัสดีค่ะ